เมนู

เราได้นับถือพระองค์ผู้จอมสัตว์ผู้คงที่เป็นสรณะก่อนใคร ๆ
เราไม่ได้เข้าถึงทุคติเลยตลอดแสนกัป.

ใน 3 หมื่นกัปแต่กัปนี้ ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ 16 ครั้ง
มีพระนามว่ามหาจุนทภิ และพระนามว่ารเถสภะ.

คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา 4 วิโมกข์ 8 และ
อภิญญา 6 เราทำให้แจ้งชัดแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า
เราได้ทำเสร็จแล้ว
ดังนี้.
ทราบว่า ท่านพระสรณคมนิยเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วย
ประการฉะนี้แล.
จบสรณคมนิยเถราปทาน

113. อรรถกถาสรณคมนิยเถราปทาน


อปทานของท่านพระสรณคมนิยเถระ มีคำเริ่มต้นว่า อุภินฺนํ
เทวราชูนํ
ดังนี้.
แม้พระเถระรูปนี้ ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธเจ้า
พระองค์ก่อน ๆ ทุก ๆ ภพนั้นจะสร้างสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระ-
นิพพานเป็นประจำเสมอ ในเวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า
ปทุมุตตระ บังเกิดขึ้น ท่านรูปนี้ได้เกิดเป็นจอมเทพประจำป่าหิมวันต์.
สมัยหนึ่ง เมื่อจอมเทพนั้น ตระเตรียมเพื่อจะทำสงครามระหว่างยักษ์กับ
จอมเทพฝ่ายอื่น พวกบริวารของยักษ์มากมายประมาณได้ 2,000 ตน

ต่างก็ถือโล่และอาวุธเป็นต้นเข้าประชิดเพื่อจะทำสงครามกัน. ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ ได้ทรงบังเกิดความกรุณา
ในสัตว์เหล่านั้น จึงเสด็จไปยังสถานที่นั้นโดยทางอากาศ แล้วทรงแสดง
ธรรมให้แก่หมู่จอมเทพพร้อมด้วยบริวาร ในกาลนั้น หมู่จอมเทพทั้งปวง
นั้น ต่างก็พากันทิ้งโล่และอาวุธ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วย
ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก แล้วได้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ. หมู่
จอมเทพเหล่านั้นได้ถึงสรณะที่ 1 คือพระพุทธเจ้านี้แล. ด้วยบุญอันนั้น
เขาจึงได้ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลกหลายครั้ง ได้เสวยสมบัติ
ทั้งสองแล้ว ครั้นในพุทธุปบาทกาลนี้ เขาได้เกิดมาในเรือนที่มีสกุล
เจริญวัยแล้ว เลื่อมใสในพระศาสดา บวชแล้วไม่นานนักก็ได้เป็นพระ-
อรหันต์.
ในกาลต่อมา ท่านได้ระลึกถึงกุศลในกาลก่อนได้ เกิดความโสมนัส
เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนเคยได้ประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงกล่าว
คำเริ่มต้นว่า อุภินฺนํ เทวราชูนํ ดังนี้. ในคำเริ่มต้นนั้นมีอรรถาธิบายว่า
จอมยักษ์ทั้งสอง ไม่ปรากฏชื่อและโคตร เหมือนสุจิโลมยักษ์ ชรโลม-
ยักษ์ อาฬวกยักษ์ ท้าวกุมภีร์ และท้าวกุเวรเป็นต้น เมื่อจะแสดงอ้างถึง
โดยประการอื่น ท่านจึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า อุภินฺนํ เทวราชูนํ ดังนี้.
บทว่า สงฺคามิ สมุปฏฺฐิโต ความว่า ชื่อว่า สงคราม เพราะ
อรรถว่า เป็นสถานที่กลืนกินชั้นดี คือเข้าไปประชิดเพื่อการทะเลาะวิวาท
สงครามนั้นมีการตระเตรียม (ล่วงหน้า) เป็นอย่างดี คือตระเตรียมที่จะยึด
ในสถานที่แห่งหนึ่ง. บทว่า อโหสิ สมุปพฺยูฬฺโห ความว่า เป็นกอง
เข้าไปประชิดใกล้อย่างพร้อมเพรียง.

บทว่า สํเวเชสิ มหาชนํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง
ในอากาศแล้วยังหมู่ยักษ์เหล่านั้น ให้เกิดความสลดใจด้วยพระธรรมเทศนา
อริยสัจ 4 ได้แก่ทรงให้ถือเอา คือให้ทราบ ให้ตรัสรู้ ด้วย ทรงชี้แจง
ถึงโทษ. คำที่เหลือในที่ทุกแห่งมีเนื้อความง่ายทั้งนั้น.
จบอรรถกถาสรณคมนิยเถราปทาน

เอกาสนิยเถราปทานที่ 4 (114)


ว่าด้วยผลแห่งการเอาดนตรีประโคมบูชาไม้โพธิ์


[116] ในกาลนั้น เราเป็นท้าวเทวราชมีนามชื่อว่าวรุณะ พร้อม
ด้วยยาน พลทหารและพาหนะ บำรุงพระสัมพุทธเจ้า.

เมื่อพระโลกนาถพระนามว่า อัตถทัสสี ผู้สูงสุดกว่าสัตว์
เสด็จนิพพานแล้ว เราได้ถือเอาดนตรีทั้งปวงไปประโคมไม้
โพธิ์อันอุดม.

เราประกอบด้วยการประโคม การฟ้อนรำ และกังสดาล
ทุกอย่าง บำรุงไม้โพธิ์พฤกษ์อันอุดมดังบำรุงพระสัมพุทธเจ้า
เฉพาะพระพักตร์.

ครั้นบำรุงโพธิ์พฤกษ์อันงอกขึ้นที่ดินดื่มรสด้วยรากนั้นแล้ว
นั่งคู้บัลลังก์ แล้วทำกาลกิริยา ณ ที่นั่นเอง.

เราปรารภด้วยกรรมของตน เลื่อมใสในโพธิพฤกษ์อันอุดม
ได้อุบัติยังชั้นนิมมานรดีด้วยจิตอันเลื่อมใสนั้น.

นักดนตรี 6 หมื่น แวดล้อมเราทุกเมื่อ เป็นไปในภพน้อย
ใหญ่ ทั้งในมนุษย์และในเทวดา.

ไฟ 3 กองของเราดับแล้ว ภพทั้งปวงเราถอนขึ้นได้แล้ว
เราทรงกายอันมีในที่สุดไว้ ในศาสนาของพระสัมมาสัม-
พุทธเจ้า.

ในกัปที่ 500 แต่กัปนี้ ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิจอม-
กษัตริย์ 34 ครั้ง มีพระนามชื่อว่าสุพาหุ ทรงสมบูรณ์ด้วย
แก้ว 7 ประการ.